เชอร์รี: ผลไม้สีแดงแห่งความหวัง ต้านอัลไซเมอร์และลดขยะอาหาร

เชอร์รี: ผลไม้สีแดงที่อาจช่วยป้องกันอัลไซเมอร์และลดขยะอาหาร

 

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยในอังกฤษได้ค้นพบว่า เชอร์รี ผลไม้สีแดงที่เราคุ้นเคยกันดี อาจเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นภาวะที่ทำลายความทรงจำและทักษะการคิดอย่างช้า ๆ การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่เปิดประตูสู่แนวทางการดูแลสุขภาพสมองแบบใหม่ แต่ยังช่วยส่งเสริมความยั่งยืนด้านอาหารอีกด้วย

ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นถึงคุณประโยชน์ของเชอร์รีในการช่วยเสริมการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมในระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง เนื่องจากเชอร์รีอุดมไปด้วยสารประกอบสำคัญอย่าง แอนโธไซยานิน และ เควอร์ซิทิน ซึ่งเป็นสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในการต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบในร่างกาย

งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยเคนต์ได้พัฒนาแนวคิดนี้ไปอีกขั้น โดยพบว่าการแปรรูปเชอร์รีให้เป็นรูปแบบผงอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บรักษาสารอาหารสำคัญไว้ได้ดียิ่งขึ้น ทีมวิจัยได้ร่วมมือกับเกษตรกรในท้องถิ่นเพื่อนำเชอร์รีที่อาจมีตำหนิหรือสีไม่สม่ำเสมอ ซึ่งปกติจะถูกคัดทิ้ง มาผ่านกระบวนการแปรรูปเป็นน้ำเชอร์รี เนื้อผล และผงเชอร์รี จากการวิเคราะห์พบว่าเชอร์รีในรูปแบบผงมี “กิจกรรมทางชีวภาพ” ของสารแอนโธไซยานินสูงกว่าในรูปแบบอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญ


ฟลาโวนอยด์: สารอาหารจากพืชที่ช่วยลดความเสี่ยงสมองเสื่อม

 

ผลการศึกษาครั้งนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Antioxidants ซึ่งตอกย้ำหลักฐานที่สนับสนุนบทบาทสำคัญของฟลาโวนอยด์ในการดูแลสุขภาพสมอง งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าการบริโภคอาหารที่อุดมด้วยฟลาโวนอยด์อย่างสม่ำเสมออาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้มาก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า หรือมีปัจจัยทางพันธุกรรม

นักวิทยาศาสตร์พบว่าสารกลุ่มฟลาโวนอยด์หลายชนิดมีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงสมองเสื่อมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะ แอนโธไซยานิน, ฟลาวาน-3-อล และฟลาโวน สารเหล่านี้สามารถพบได้ในอาหารทั่วไป เช่น ชา ไวน์แดง และเบอร์รีต่าง ๆ ซึ่งนอกจากเชอร์รีแล้ว ก็ยังมีผลไม้ตระกูลเบอร์รีอื่น ๆ อย่างบลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี หรือแบล็กเบอร์รีที่มีคุณประโยชน์ใกล้เคียงกัน


พลิกวิกฤตเป็นโอกาส: จากผลไม้ที่ถูกทิ้งสู่แนวทางอาหารยั่งยืน

 

นอกเหนือจากประโยชน์ต่อสุขภาพสมองแล้ว การศึกษาในครั้งนี้ยังเน้นไปที่การลดขยะอาหารด้วย ดร. มารีนา เอซคูร์รา หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคนต์กล่าวว่า “เรากำลังแสดงให้เห็นว่าผลผลิตทางการเกษตรที่ไม่สมบูรณ์ไม่จำเป็นต้องถูกทิ้ง แต่สามารถนำมาแปรรูปเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตอาหารสุขภาพที่ยั่งยืนและทุกคนเข้าถึงได้”

ความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและเกษตรกรท้องถิ่นในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดที่สามารถนำไปปรับใช้ในวงกว้างได้ ดร. เอซคูร์ราเชื่อมั่นว่านวัตกรรมนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดแนวทางการจัดการผลผลิตที่สร้างสรรค์ในภูมิภาคเกษตรกรรมทั่วโลก

ปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารต่างมองว่าถึงเวลาแล้วที่การแนะนำด้านโภชนาการสำหรับประชาชนทั่วไปควรให้ความสำคัญกับสารอาหารจากพืชเหล่านี้มากขึ้น ดร. ไลรอน ซินวานี จากโรงพยาบาล North Shore University กล่าวว่า “นี่เป็นก้าวแรกที่เราจะได้เริ่มพิจารณาว่า เราควรส่งเสริมให้ผู้คนบริโภคอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่ และจะมีนโยบายสาธารณะที่สามารถเน้นอาหารที่อุดมด้วยฟลาโวนอยด์ได้หรือไม่” เพราะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมง่าย ๆ เช่นนี้ รวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมและส่งเสริมสุขภาพสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ